รำตังหวายจะเป็นการเกี้ยวพาราสีฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เป็นการลำแบบลำสดและมีการฟ้อนรำตังหวาย มีท่าทางการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์และมีบทคำร้องที่ปรับได้ตามยุคสมัย มีเครื่องแต่งกานของการรำตังหวายที่เป็นเอกลักษณ์ แต่งกายโดยการใส่ผ้าฝ้ายย้อมคราม ผ้าซิ่นย้อมครามที่เป็นลายเอกลักษณ์ของคนในชุมชน ท่ารำตังหวายมีทั้งหมด 12 ท่ารำ การดำเนินกิจกรรมเป็นการฟ้อนรำในพิธีงานต่างๆที่สำคัญภายในพื้นที่และได้มีการนำมาทำการฟ้อนรำแสดงโชว์ศิลปะพื้นเมืองของอำเภอเขมราฐ ได้มีการนำท่ารำมาแสดงในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี
ทุนทางสังคมด้านสถาบัน (Institutes Capital)
เขมราฐ
บ้านซะซอม มีสภาพโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงสลับเนินเขาสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 170 เมตร ทางทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำโขงเป็นที่ราบสูง บริเวณชายของที่สูงเป็นหน้าผาสูงชัน บางตอนของที่ราบสูงเป็นแอ่ง บ้านซะซอม เริ่มตั้งเป็นหมู่บ้านเมื่อปีพ.ศ.24 93 ชื่อเดิมหมู่บ้านคือ “บ้านน้อย” ที่มาของชื่อ “ซะซอม” เพราะเรียกตามลักษณะพื้นที่ที่น้ำขังตลอดปีแม้ในฤดูแล้ง ซึ่งสัตว์ป่านานาชนิดมากินน้ำบริเวณนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ซะ” ชาวบ้านจึงแอบซุ่มดูเพื่อจับสัตว์ ซึ่งภาษาอีสานเรียกว่า “ซอม” รวมกันจึงเป็นคำว่า “ซะซอม” จึงได้เรียกหมู่บ้านนี้ว่า “ซะซอม”
ทุนทางสังคมด้านสถาบัน (Institutes Capital)
โขงเจียม
การทอผ้าลายดอกผักแว่นหรือเดิมเรียกว่าผ้าลายตีนกา ชาวบ้านจะปลูกฝ้ายเอง และนำฝ้ายที่ปลูกเมื่อถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตนำมาเข็นเข้าขั้นตอนการทอผ้าเอง การทอผ้าจะทำการทอในเวลากลางวัน ซึ่งผู้หญิงจะเป็นผู้ทำการทอผ้า แต่การเข็นฝ้ายให้เป็นเส้นจะเข็นหรือทำกันในตอนกลางคืน โดยเรียกชื่อว่า”การลงข่วงเข็นฝ้าย” โดยผู้หญิงจะมาร่วมเข็นเป็นกลุ่ม มีการก่อกองไฟเพื่อให้แสงสว่างในตอนกลางคืน เพราะสมัยนั้นในหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนในปัจจุบัน การก่อกองไฟจะใช้ฟืนซึ่งหาได้ตามธรรมชาติ ภายในหมู่บ้านมาเป็นเชื้อเพลิงในการก่อกองไฟ และผู้ที่จะมาเข็นฝ้ายส่วนใหญ่จะเป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือเรียกตามภาษาถิ่นว่า “ผู้สาว” และจะมีผู้ชายมาเล่นดนตรี โดยการเป่าแคน ดีดพิณ เป่าขลุ่ย จีบหญิงสาวที่มาเข็นฝ้าย สำหรับผู้ชายที่มาเล่นดนตรีนั้นจะมีทั้งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและมาจากหมู่บ้านอื่น ซึ่งภาถิ่นจะเรียกว่า “การลงข่วง” เป็นประจำทุกคืนจนถึงเวลาประมาณ 5-6 ทุ่ม จึงเลิกและแยกย้ายกันกลับบ้าน ลักษณะที่โดดเด่นของผ้าลายดอกผักแว่น 1. ส่วนประกอบที่เป็นลายดอกผักแว่น (คล้ายดอกผักแว่นที่เป็นธรรมชาติ) 2. ส่วนประกอบที่เป็น เส้นยืน มี ๒ สี สี ละ ๒ เส้น 3. ส่วนประกอบที่เป็นดอกขัดเป็นสีขาวสับหว่างให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอ 2 สี 2 เส้น (ทอยกดอก) 4. ใช้ฟืม 4 เขา 4 ขาเหยียบ ปัจจุบันชาวบ้านนิยมทอผ้าลายดอกผักแว่นหลายสีตามความนิยม แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ การยกดอกสีขาวในทุกผืนผ้า ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นและมีความประณีต
ทุนทางสังคมด้านสถาบัน (Institutes Capital)
โพธิ์ไทร
กลุ่มทอผ้าบ้านป่ากุงน้อย มีการรวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการทอผ้าให้มีความเป็นรูปธรรม และหากจะต้องการงบสนับสนุนจากราชการก็ต้องมีการรวมกลุ่มกันในการพัฒนาการทอผ้า ดังนั้นชาวบ้านจึงมีการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการทอผ้าให้เป็นระบบ มีการจัดการที่มีคุณธรรม มีคณะกรรมการบริหารกลุ่ม ซึ่งนำโดยประธานกลุ่มที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะนำพากลุ่มไปสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนในอนาคตได้ มีการทอผ้าด้วยเครื่องทอพื้นเมืองที่เรียกว่า กี่ และมีการย้อมผ้าทอหรือเส้นด้ายด้วยสีธรรมชาติ เช่น สีของต้นมะม่วง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีเอกลักษณ์และสร้างความโดดเด่นให้กับกลุ่มทอผ้าของบ้านป่ากุงน้อยเป็นอย่างมาก ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือ ผ้าทอมือด้วยกี่พื้นเมือง ย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้กลุ่มทอผ้าบ้านป่ากุงน้อยเป็นที่รู้จักในสังคม
ทุนทางสังคมด้านสถาบัน (Institutes Capital)
ศรีเมืองใหม่
การดำเนินกิจกรรมของกลุ่มทอผ้าวังม่วง คือ สมาชิกในกลุ่มจะแบ่งงานกันทำตามความสามารถของแต่ละคน ใครที่ถนัดด้านไหนก็ทำในด้านนั้น เช่น ใครที่ถนัดทอผ้าก็มีหน้าที่ทอผ้า ใครถนัดเข็นฝ้ายก็มีหน้าที่เข็นฝ้าย ใครถนัดมัดหมี่ก็มีหน้าที่มัดหมี่
ทุนทางสังคมด้านสถาบัน (Institutes Capital)
นาตาล